ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่
สี่ที่ใช้ผสมอาหาร สำหรับทำให้เกิดความสวยงาม
สีส่วนมากที่ใช้กันในปัจจุบัน
มักเป็นสีสังเคราะห์ขึ้นโดยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะต้องผลิตให้มีมาตรฐานสูงถึงขนาดที่กำหนดให้ นอกจากนี้
ก็เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สีเขียวจากใบเตย
สีแดงจากฝาดและกระเจี๊ยบแดง สีเหลืองจากขมิ้น สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน
สีน้ำตาล จากน้ำตาลเคี่ยวไหม้ สีดำจากกาบมะพร้าวเผาให้ เป็นถ่าน เป็นต้น
|
 ผักและผลไม้สด ที่อาจมีสารพิษตกค้าง |
ปัญหาที่น่าคิด คือ ปรากฏว่ายังมีผู้ใช้สีอย่างอื่นที่ไม่ใช่สีสำหรับบริโภคมาใช้เป็นสีผสมอาหารกัน
มากมาย สีพวกนี้ ได้แก่ สีย้อมผ้า สีอินทรียสังเคราะห์ที่เป็นพิษ ซึ่งห้ามไม่ให้ใช้ผสมอาหาร สีต่างๆ
เหล่านี้มีสารพิษผสมเป็นส่วนประกอบ เช่น ตะกั่ว
ปรอท แคดเมียม สารหนู และสารเคมีที่มีพิษอื่นๆ
ซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปสะสมมากๆ แล้ว อาจก่อให้เกิด
การปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ชีพจรและการหายใจอ่อนลง มีผลต่อระบบประสาทและทำให้สมองเป็นอัมพาต
สีบางประเภทจะไปจับอยู่ตามเยื่อกระเพาะอาหารและ
ลำไส้ ขัดขวางการดูดซึมอาหาร มีอาการท้องเดิน
น้ำหนักลด อ่อนเพลีย สีบางชนิดอาจทำให้เกิดเป็น
มะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ
และอวัยวะอื่นๆ ได้
|
 ใบเตย |
สารกันเสีย หรือกันบูด
เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติ สามารถฆ่าหรือยับยั้ง การเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ สารกันเสียที่จะใช้ใส่อาหารได้นั้น
จะต้องเป็นชนิดที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาต
และจะต้องใช้ในปริมาณที่วางมาตรฐานกำหนดไว้ ที่นิยมกันมาก ได้แก่ เบนโซเอต
ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเข้ากับอาหารได้ทุกชนิด และไม่สลายตัว
(แต่มีข้อเสียคือ ไม่สามารถกลืนเอาสีของอาหารไว้ได้
ทำให้อาหารสีคล้ำถ้าเก็บไว้นาน) ปริมาณสูงสุดที่ ให้ใช้ได้คือ ๑,๐๐๐
มิลลิกรัมต่ออาหารหนัง ๑ กิโลกรัม แต่ถ้าใช้มากเกินไป
จะทำให้เกิดอาการผิดปกติในกระเพาะอาหาร และระบบทางเดินอาหารได้
|
 น้ำตาลเคี่ยวไหม้ |
พวกไนเตรตและไนไตรต์รวมทั้งดินประสิว
ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันบูดในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ทำให้เนื้อมีสีแดง
ถ้าใช้มากเกินไป จะทำให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติ ไม่สามารถนำออกซิเจนได้ดี
ทำให้เกิดอาการ หายใจไม่ออกและชักได้ บางครั้งทำให้หลอดเลือด ขยายตัว
ปวดศีรษะ แรงดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นเร็ว อาการอื่นๆ
มีการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและ ลำไส้ ทำให้ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน
ถ้ามีมาก เกินไป อาจทำให้เกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ อาเจียน
หรืออุจจาระเป็นเลือดคั่ง และอาจทำให้ถึง กับตายได้ ที่สำคัญ คือ
ดินประสิวจะทำปฏิกิริยากับ สารเคมีบางชนิดในเนื้อปลาและสัตว์อื่นๆ
ทำให้เกิด เป็นไนไทรซามีน ซึ่งอาจเห็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ในส่วนต่างๆ
ของร่างกายได้ เช่น ตับ ไต ปอด จมูก หลอดอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีสารกัน
บูดบางชนิดที่ห้ามใช้ผสมอาหาร เช่น กรดบอริก กรดซาลิซิลิก
เพราะมีอันตรายต่อกระเพาะอาหารและ ลำไส้ ทำให้มีอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้
อาเจียน หายใจขัด ประสาทหูเสื่อม และมีอาการประสาทหลอน เป็นต้น
|
 ดอกอัญชัน |
บางครั้งผู้ผลิตอาหารผสมสารเคมีบางอย่างลงไป
เพื่อให้อาหารมีลักษณะ หรือรสชาติดีขึ้น เช่น ใส่สาร บอแรกซ์
หรือน้ำประสานทอง ซึ่งมักเรียกกันว่า ผงกรอบ หรือผงเนื้อมัน สารบอแรกซ์นี้
ทำให้อาหารกรุบกรอบ หรือทำให้เหนียว ดังนั้นจึงนิยมใช้ผสมอาหารต่างๆ เช่น
ลูกชิ้น หมูยอ กุ้งชุบแป้งทอด มะม่วงดอง และทับทิมกรอบ เป็นต้น สารบอแรกซ์
เป็นสารพิษ ซึ่งห้ามใช้ใส่อาหารทุกชนิด
บอแรกซ์ที่บริโภคเข้าไปจะมีฤทธิ์สะสม
เพราะบอแรกซ์จะถูกดูดซึมเข้าทางลำไส้รวดเร็ว หากมีการสะสมบ่อยๆ
อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทวาร ทางเดินของอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร
อาเจียน ถ่ายอุจจาระบ่อย หากเป็นพิษอย่างรุนแรง เพราะสะสมมาก จะคลื่นไส้
อาเจียนเป็นเลือด ปวดท้อง ผิวหนังมีผื่นคัน กล้ามเนื้อบริเวณหน้า มือ
และเท้ากระตุก ตัวเหลือง ไม่ปัสสาวะ ความดันเลือดต่ำ และอาจหมดสติ
เนื่องจากจุดควบคุมการหายใจถูกกด |
การปรุงอาหารในปัจจุบันนิยมเติมผงชูรส
ซึ่งความจริงเป็นการสังเคราะห์เกลือ ของกรดกลูทามิก
อันเป็นกรดอะมิโนอย่างที่มีอยู่ในโปรตีนทั้งในสัตว์และพืช
สารนี้มีคุณสมบัติชูรสอาหารได้ จึงมีผู้นิยมใช้กันมาก
การใช้ผงชูรสควรใช้แต่น้อยๆ หากใช้มากเกินไป อาจเกิดอันตรายได้
เพราะบางคนมีอาการแพ้ได้ง่าย จะมีอาการลิ้นชา ร้อนซู่ซ่าที่ลำคอและหน้า
แน่นหน้าอก มึนงง ปวดศีรษะ เพลีย หัวใจเต้นแรง หญิงมีครรภ์
และทารกไม่ควรรับประทานผงชูรส เพราะถ้าได้รับมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ |  ดินประสิว |
ปัญหาที่ร้ายแรงของผงชูรส ในประเทศไทย คือ ผงชูรสปลอม
เพราะมีผู้ทำผงชูรสปลอม โดยใช้สารเคมีราคาถูก
ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น เกลือฟอสเฟต ซึ่งลักษณะคล้ายผงชูรสมาก
หากรับประทานเข้าไป จะเกิดการท้องร่วงอย่างรุนแรง
บางครั้งผู้ปลอมใช้บอแรกซ์ ซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปมาก
อาจเกิดอาการรุนแรงถึงชีวิตได้
 | อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ที่ต้องการความกรุบกรอบ อาจผสมสารบอแรกซ์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย |
นอกเหนือจากสิ่งที่บริโภคแล้ว
ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
เครื่องสำอาง สำหรับทั้งของบุรุษและสตรี ได้แก่
เครื่องสำอางที่รักษาความสะอาด และเสริมกลิ่น เช่น สบู่ แชมพู
ครีมล้างหน้า ยาสีฟัน น้ำหอม ครีมโกนหนวด และแป้งโรยตัว เป็นต้น เครื่อง
สำอางสำหรับเสริมแต่งความงาม เช่น ลิปสติก ครีม ทาเปลือกตา น้ำยาดัดผม
น้ำยาย้อมผม แป้งผัดหน้า และสเปรย์ฉีดผม เป็นต้น
และเครื่องสำอางที่มีตัวยาผสมอยู่ เช่น สบู่ยา ครีมรักษาฝ้า ครีม ลอกสิว
ครีมบำรุงผิว น้ำมันใส่ผมรักษารังแค และครีมระงับกลิ่นตัว เป็นต้น
ปัญหาจากเครื่องสำอางอาจมีสาเหตุตั้งแต่กรรมวิธีการผลิต
ซึ่งแม้มีการควบคุมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการผลิตที่ไม่ถูกต้อง
และไม่ได้มาตรฐาน จึงยังมีการใช้สารพิษเจือปนอยู่ ทั้งโดยเจตนา
หรือไม่เจตนา สารพิษดังกล่าว อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
หรือเกิดความเสียหายกับอวัยวะบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางนั้นก็ได้
การใช้เครื่องสำอาง จึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง |