สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 18
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๘ / เรื่องที่ ๔ กฎหมายกับสังคมไทย / กฎหมายกับสังคมไทย
กฎหมายกับสังคมไทย
 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์ในสมัยสุโขทัย
 ศาลอาญา
 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร
 ประมวลกฎหมาย |
มีคำกล่าวภาษาลาตินบทหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้ "Ubi
societas, ibi jus" ซึ่งมีความหมายว่า "ที่ไหนมีสังคม
ที่นั่นมีกฎหมาย"
กล่าวคือ
เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะในลักษณะที่ถาวร
ก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติกันในสังคมนั้นๆ
เพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุข กฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้
มีทั้งกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร และกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ซึ่งต่างก็มีลักษณะบังคับให้คนในสังคมนั้นๆ ต้องปฏิบัติตาม
ในสังคมระยะแรกเริ่มนั้น
กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ไม่สลับซับซ้อนดังเช่นสังคมปัจจุบัน
การควบคุมความประพฤติของคนในสังคมจะอาศัยขนบธรรมเนียมปรเพณี
ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไป
เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ
ที่เกิดขึ้นมาจากเหตุผลธรรมดาตามสามัญสำนึกของชาวบ้าน
เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในมนุษย์
กฎหมายก็คือ กฎเกณฑ์ทางศีลธรรม และจารีตประเพณีของชุมชนนั้นๆ
ต่อมาเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป จารีตประเพณีเดิม
ย่อมไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ปัญหาที่สลับซับซ้อน
จึงจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรออกมา เพื่อแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ
ไป มีการใช้เหตุผลชั่งตรอง เพื่อชี้ขาดข้อพิพาท เกิดเป็นหลักกฎหมายต่างๆ
มีกระบวนการบัญญัติกฎหมายที่เป็นกิจจะลักษณะ ฉะนั้น
กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสังคมสมัยใหม่
จึงมีทั้งกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
และกฎหมายที่ปรากฎอยู่ในรูปของจารีตประเพณี
ในสังคมไทยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน
และมีกฎหมายที่ใช้เป็นแบบแผนควบคู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด
โดยได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสังคมไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งอาจจะแบ่งประวัติศาสตร์กฎหมายไทยเป็นช่วงเวลา
เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโดยสังเขป ดังนี้
๑.
ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยแท้ๆ
กฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากจารีตประเพณีดั้งเดิมของไทย
เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ ที่มีมาในสังคมไทยแต่ดั้งเดิม จนถึงสมัยสุโขทัย
๒.
ช่วงกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย
ได้แก่
กฎหมายในสมัยอยุธยาเรื่อยมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ก่อนที่จะรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก
กฎหมายแม่บทที่ประเทศไทยได้รับมาจากอินเดียโดยผ่านมาทางมอญก็คือ "คัมภีร์พระธรรมศาสตร์"
ซึ่งเป็นหลักกฎหมายในการปกครองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ในขณะเดียวกัน
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยความถูกต้อง
สอดคล้องกับหลักของพระธรรมศาสตร์
พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดินอาจจะออกกฎเกณฑ์มาเพิ่มเติมที่เรียกว่า
"ราชศาสตร์"
จากการที่พระองค์ทรงวินิจฉัยมูลคดีต่างๆ
แล้วรวบรวมเป็นกฎหมายพื้นฐานของแผ่นดิน
๓.
ช่วงที่ไทยรับระบบกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก
ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้
เริ่มต้นเมื่อประเทศสยามได้มีการปฏิรูปประเทศใน
สมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย โดยอาศัยแบบอย่างจากตะวันตก
โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินใหม่
ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งโรงเรียนกฎหมาย
และจัดให้มีการร่างประมวลกฎหมายขึ้น
ตามระบบกฎหมายของประเทศทางภาคพื้นยุโรปที่เรียกว่า
ระบบซีวิลลอว์ (civil law)
นับเป็นการพัฒนาระบบกฎหมายของไทยให้ทันสมัยไปอีกก้าวหนึ่ง
ความเป็นมาทางด้านประวัติศาสตร์กฎหมายแสดงให้เห็นได้ว่า
กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสังคมไทยนั้น ได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
แม้ถึงคราวที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบกฎหมายตามแบบตะวันตก
ก็ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้กฎหมายที่รับมาเหมาะสมกับสังคมไทย
ในขณะเดียวกันก็มิได้ละทิ้งแนวความคิดตามธรรมเนียมประเพณีเดิมของไทย
กฎหมายบางเรื่อง
จึงยังคงแสดงถึงความคิดแบบไทย เช่น
การห้ามฟ้องบุพการีของตนที่เรียกว่า คดีอุทลุม
หรือการกำหนดโทษอาญาให้หนักขึ้นในกรณีของการฆ่าบุพการี เหล่านี้เป็นต้น
ในส่วนที่เกี่ยวกับการนำจารีตประเพณีมาช่วยแก้ปัญหาในทางแพ่งนั้นประมวลกฎหมายแพ่ง
ฯ ที่ร่างขึ้น ก็ได้บัญญัติรับรองไว้ว่า
กรณีที่ไม่มีบทบัญญัติที่จะยกมาปรับกับคดีได้
ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
ซึ่งเป็นการนำกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมาใช้ควบคู่กันไป
การเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสังคมไทยที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งก็คือ
การเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕
มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และมีการออกกฎหมายต่อมาอีกมากมาย
ทั้งในรูปของพระราชบัญญัติ และกฎหมายในลำดับรอง
การจะกล่าวถึงกฎหมายกับสังคมไทยให้เห็นภาพรวมได้เด่นชัด
ต้องกล่าวถึงการจัดลำดับชั้นของกฎหมาย เริ่มตั้งแต่กฎหมายแม่บทคือ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายในลำดับรองลงไปเพื่อให้เห็นถึงความเกี่ยวโยง
ดังนี้
- รัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
- พระราชกฤษฎีกา
- กฎกระทรวง
- ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง
ลำดับชั้นของกฎหมายดังกล่าวมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด รองลงมาคือ
พระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด รองลงมาอีก คือพระราช
กฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ จนถึงประกาศและคำสั่งต่างๆ
ตามลำดับชั้น โดยถือหลักว่า
กฎหมายที่อยู่ในลำดับล่างจะไปขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่อยู่ในลำดับต้นไม่ได้
ฉะนั้นกฎหมายรัฐธรรมนูญ
จึงเป็นแม่บทที่ใช้เป็นหลักในการปกครองของประเทศ
ถ้าหากปรากฏว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้
โดยองค์กรที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดว่า
กฎหมายฉบับใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็คือ
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
สำหรับผู้มีอำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญได้แก่
บุคคล หรือคณะบุคคล ที่มีอำนาจอันสูงสุด และแท้จริงในรัฐ
ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญขึ้น
โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร
พระราชบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่ออกโดย ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีรัฐสภาทำหน้าที่ออกกฎหมายนี้
โดยผู้ที่สามารถจะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้รัฐสภาพิจารณา ได้แก่
- คณะรัฐมนตรี
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอผ่านพรรคการเมือง
ที่สมาชิกฯ ผู้นั้นสังกัด
กฎหมายของบ้านเมือง โดยทั่วไปจะปรากฏในรูปพระราชบัญญัติ
ประมวลกฎหมายฉบับสำคัญๆ ของไทย ก็ได้ประกาศใช้โดยพระราชบัญญัติ อันได้แก่
- ประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ที่ว่าด้วยการกระทำความผิดและโทษ มีทั้งหมด
๓๙๘ มาตรา แบ่งเป็น ๓ ภาค คือ ภาคที่เป็นบทบัญญัติทั่วไป ภาคความผิด
ซึ่งว่าด้วยความผิดฐานต่างๆ และภาคลหุโทษ
อันได้แก่ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับโทษในทางอาญาได้กำหนดไว้ ๕ สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ
ริบทรัพย์สิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานความผิด และดุลยพินิจของศาล
ที่จะกำหนดโทษเป็นกรณีไป
ความผิดอาญานอกจากที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแล้ว
ยังปรากฏในพระราชบัญญัติอื่นๆ อีกเป็นเรื่องเฉพาะๆ ไป
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย
เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ที่ทุกคนจะพึงมี
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมีทั้งหมด ๑,๗๕๕ มาตรา แบ่งเป็น
๖ บรรพ คือ บรรพ ๑ หลักทั่วไป บรรพ ๒ บทบัญญัติว่าด้วยหนี้ บรรพ
๓ เอกเทศสัญญา บรรพ ๔ ทรัพย์สิน บรรพ ๕ ครอบครัว และบรรพ ๖ ว่าด้วยมรดก
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเอกเทศ สัญญา เช่น การกู้ยืมเงิน ค้ำประกัน
จำนอง จำนำ ซื้อขาย ขายฝาก เช่าทรัพย์ ฯลฯ
หรือเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัว เช่น การหมั้น การสมรส
หรือเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการมรดก เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตาย
เหล่านี้เป็นต้น
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการนำตัวผู้กระทำความผิดอาญามาลงโทษ
ตั้งแต่การจับกุม สอบสวน การดำเนินกระบวนพิจารณาใน ศาล
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับ การบังคับให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ในทางแพ่ง
เช่น วิธีฟ้อง วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ตลอดจนการบังคับคดี
นอกจากประมวลกฎหมายสำคัญๆ ดังกล่าวมาแล้ว การดำรงชีวิตของคนในสังคม
ยังต้องเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติต่างๆ อีกหลายฉบับ
ซึ่งจะได้ยกเป็นตัวอย่างต่อไป
พระราชกำหนด
เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งอาจเรียกว่า กฎหมายบริหารบัญญัติ
การออกกฎหมายประเภทนี้ถือว่า
เป็นการออกกฎหมายในกรณีพิเศษที่ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะโดยทั่วไปแล้ว
ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจออกกฎหมายโดยตรง
การออกกฎหมายเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะ
สำหรับเหตุผลพิเศษที่ฝ่ายบริหารสามารถออกพระราชกำหนด ได้มีอยู่ ๒ กรณีคือ
๑. ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน
ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ
หรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
๒. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมาย เกี่ยวด้วยภาษีอากร หรือเงินตรา
ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
พระราชกำหนดที่ฝ่ายบริหารออกมาถือว่า
มีผลบังคับเพียงชั่วคราวเฉพาะเรื่องเท่านั้น
เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอขออนุมัติต่อรัฐสภา
ถ้ารัฐสภาอนุมัติ พระราชกำหนดนั้นจะมีผลบังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป
แต่ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติ พระราชกำหนดนั้นจะตกไป
แต่การที่พระราชกำหนดใช้บังคับต่อไปไม่ได้นั้น ไม่มีผลกระทบกระเทือนกิจการ
ที่ได้เป็นไป ในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น
นอกจากพระราชกำหนด ซึ่งฝ่ายบริหารสามารถออกได้เองแล้ว
ฝ่ายบริหารยังสามารถออก "กฎหมายลำดับรอง"
ได้ ถ้าหากกฎหมายที่เป็นแม่บท คือ รัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติ
ให้อำนาจไว้
กฎหมายลำดับรอง
ได้แก่ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งต่างๆ
กฎหมายลำดับรองนี้
ฝ่ายบริหารจะบัญญัติได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายลำดับต้นที่เป็นแม่บทให้อำนาจไว้เท่านั้น
ถ้าหากฝ่ายบริหารออกมาเกินขอบเขตที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้
กฎหมายลำดับรองนั้น ย่อมเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ |
|