สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 18
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๘ / เรื่องที่ ๔ กฎหมายกับสังคมไทย / องค์กรพิจารณาและพิพากษาคดี
องค์กรพิจารณาและพิพากษาคดี
 การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล (ในภาพสมัยรัชกาลที่ ๕)
 ศาลแพ่ง
 ศาลอาญา
|
องค์กรพิจารณาและพิพากษาคดี
ตามหลักพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
อำนาจการปกครองบ้านเมืองได้จำแนกออกเป็น ๓ ส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ
อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
และได้กำหนดให้ผู้ใช้อำนาจทั้งสามแยกจากกันต่างหาก คือ
- รัฐสภา เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ
- คณะรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร
- ศาล เป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ
ดังนั้น ศาลจึงเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่พิจารณา และพิพากษาคดี ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ
- ศาลชั้นต้น (ศาลแขวง ศาลแพ่ง ศาลแรงงาน ศาลอาญา ศาลจังหวัด)
- ศาลอุทธรณ์
- ศาลฎีกา
ศาลชั้นต้น
เป็นศาลที่รับพิจารณาคดีในชั้นแรก
มีอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สำหรับในกรุงเทพฯ
เนื่องจากมีคดีความมาก จึงได้แยกศาลตามประเภทของคดี เป็นศาลแพ่งศาลอาญา
และหากเป็นคดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้พิจารณาคดีโดยศาลแขวง
ส่วนกรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ก็ให้พิจารณาโดยศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง
หากเป็นเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวกับภาษีอากร หรือแรงงาน ก็ให้พิจารณาโดยศาลภาษีอาก รและศาลแรงงาน แล้วแต่กรณี
สำหรับจังหวัดอื่น ๆ นอกจากกรุงเทพฯ
ศาลชั้นต้นที่ทำหน้าที่พิจารณา ทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญาก็คือ ศาลจังหวัด
และมีศาลแขวงทำหน้าที่พิจารณาคดีเล็กๆ น้อยๆ
นอกจากนี้ในบางจังหวัด ยังได้จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน
ศาลภาษีอากรขึ้น เพื่อพิจารณาคดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย
ศาลอุทธรณ์
เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลชั้นต้น
ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง หรือคดีอาญา
แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดว่า คดีใดอุทธรณ์ได้ หรือต้องห้ามอุทธรณ์
ศาลฎีกา
เป็นศาลสูงสุดที่จะทำหน้าที่พิจารณาชี้ขาดเป็นขั้นสุดท้าย กล่าวคือ
เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา หรือคำสั่งใดแล้ว
หากคู่ความไม่พอใจในคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้น
ก็สามารถยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาได้ แต่ทั้งนี้
ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดว่า คดีใดฎีกาไม่ได้
การดำเนินคดี
ในคีแพ่ง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
เช่น การเรียกค่าเสียหาย การฟ้องให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา การฟ้องหย่า
ฯลฯ ผู้ที่ได้รับความเสียหาย
จะต้องนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้นภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้ศาลดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไป
สำหรับในคดีอาญา ผู้เสียหายอาจดำเนินคดีได้ ๒ ทาง คือ
ฟ้องคดีต่อศาลโดยตรงแบบเดียวกับคดีแพ่ง
แต่วิธีนี้ประชาชนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบรรยายฟ้องย่อมกระทำไม่ได้
วิธีที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปก็คือ การไปร้องทุกข์ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด โดยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
เมื่อได้ร้องทุกข์แล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการนำตัวผู้กระทำผิดมาสอบสวน และส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณา
หากพนักงานอัยการเห็นว่า คดีนั้นพยานหลักฐาน และเหตุผล เพียงพอที่จะส่งฟ้องศาลได้
พนักงานอัยการก็จะดำเนินการส่งฟ้องศาล
เพื่อศาลจะได้พิจารณา และมีคำพิพากษาต่อไป
|
|