สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู ๓๐
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๐ / เรื่องที่ ๙ วัสดุการแพทย์ / ความเป็นมาของการนำวัสดุการแพทย์มาใช้งาน
ความเป็นมาของการนำวัสดุการแพทย์มาใช้งาน
ความเป็น
มาของการนำวัสดุการแพทย์มาใช้งาน
มนุษย์ได้นำวัสดุชนิดต่างๆ
มาใช้งานในการรักษาทางการแพทย์ตั้งแต่อดีตแล้ว
จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวโรมัน
ชาวอียิปต์ ชาวอินคา และชาวจีน
ได้ใช้ทองคำ แก้ว และไม้
มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอวัยวะเทียมเพื่อประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์
ไม่ว่าจะเป็นฟันปลอม ลูกนัยน์ตาเทียม
และขาเทียม อย่างไรก็ตาม
การนำวัสดุต่างๆมาใช้งานทางการแพทย์นั้นไม่ได้ทำอย่างจริงจัง
จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๔๐๓
ได้มีการคิดค้นเทคนิคการผ่าตัดแบบปลอดเชื้อ โดย โจเซฟ ลิสเตอร์
(JosephLister) แพทย์ชาวอังกฤษ
ซึ่งก่อนหน้านี้การผ่าตัดทางการแพทย์มักจะประสบปัญหาการติดเชื้อใน
ระหว่างการผ่าตัดทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ยิ่งต้องมีการนำเอาวัสดุแปลกปลอมจากนอกร่างกาย เข้าไปใช้งานร่วม
ในร่างกายด้วยแล้วโอกาส
และความรุนแรงของการติดเชื้อในการผ่าตัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น การทดลองใช้งานวัสดุการแพทย์ในช่วงก่อนหน้านี้
จึงมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก
แต่หลังจากการค้นพบเทคนิคการผ่าตัดแบบปลอดเชื้อได้แล้วโอกาส
และอัตราความสำเร็จ ของการนำวัสดุประเภทต่างๆ
มาใช้งานทางการแพทย์จึงเพิ่มมากขึ้น
ในอดีต
การนำวัสดุมาใช้งานทางการแพทย์นั้นส่วนใหญ่เลือกจากวัสดุที่มีการใช้งาน
ทั่วไปอยู่แล้ว
และมีสมบัติ
ที่ใกล้เคียงกับความต้องการที่จะนำมาประยุกต์ใช้งานในทางการแพทย์เช่น
พลาสติกไนลอน ซึ่งนำมาใช้เป็นหลอดเลือดเทียมนั้น
เริ่มจากการนำผืนผ้าไนลอนจากร้านขายผ้าทั่วไปมาทดลองใช้
ผลิตเป็นหลอดเลือดเทียมได้เป็นผลสำเร็จ
แต่บางครั้งการลองผิดลองถูกดังกล่าวก็อาจพบกับความล้มเหลวได้หรืออาจ
เลือกวัสดุที่ไม่มีสมบัติที่เหมาะสมในการใช้งานอย่างแท้จริงก็ได้
เช่น แผ่นเหล็กดามกระดูก เริ่มนำมาใช้งานในช่วง พ.ศ.
๒๔๔๓โดยผ่าตัดฝังเข้าไปยึดตรึงกระดูกที่หัก
เพื่อจำกัดการเคลื่อนที่ของกระดูก
ในบริเวณดังกล่าวและเพื่อให้เนื้อเยื่อกระดูกสามารถรักษา
และประสานแผลเองได้
แต่แผ่นเหล็กดามกระดูก
ในยุคแรกนี้ได้เกิดการแตกหักในระหว่างการใช้งานจำนวนมากซึ่งเป็นผลมาจากความไม่เข้า
ใจในการใช้งาน อย่างแท้จริง
ทำให้มีการออกแบบรูปร่างที่ผิดพลาด เช่น มีขนาดบางเกินไป
และมีมุมต่างๆที่เป็นจุดด้อย ซึ่งง่ายต่อการแตกหัก นอกจากนี้ยังพบว่า
วัสดุที่ถูกเลือกมาใช้งานก็ไม่มีความเหมาะสมเช่นกัน เช่น
เหล็กวาเนเดียม(vanadium steel) ที่นำมาใช้ผลิตเป็นแผ่นดามกระดูกนั้น
ถึงแม้ว่าจะมีความแข็งแรง
แต่เกิดการกัดกร่อนหรือเป็นสนิมได้ง่ายมากเมื่อถูกใช้งานในร่างกาย
ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานลดลง
บางครั้งก็มีการค้นพบวัสดุการแพทย์
โดยอุบัติเหตุ หรือความบังเอิญ อย่างเช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒แพทย์พบว่า เมื่อนักบินเครื่องบินขับไล่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ
เศษของกระจกฝาครอบเครื่องบิน
ซึ่งผลิตขึ้นจากพลาสติกใสประเภทพอลิเมทิลเมทาคริเลต
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า อะคริลิก
ได้แตกและกระเด็น เข้าไปฝังอยู่ในนัยน์ตา และตามส่วนต่างๆ
ของร่างกายแต่ก็ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน หรือเกิดความเป็นพิษแต่อย่างใด
จากนั้นเป็นต้นมาจึงเริ่มมีการนำพลาสติกอะคริลิกดังกล่าวมาใช้งานทางการ
แพทย์เพิ่มมากขึ้น เช่น ใช้ทดแทนแก้วตา
หรือใช้เป็นแผ่นวัสดุสำหรับการปิดคลุมส่วนของกะโหลกศีรษะที่เสียหาย |

แผ่นเหล็กดามกระดูกขนาดเล็ก
สำหรับการใช้งานบริเวณใบหน้า

โลหะประเภทเหล็กกล้า ไม่เป็นสนิม
เป็นวัสดุการแพทย์ที่นำมาใช้งานอย่างหลากหลาย
ถือได้ว่าเป็นวัสดุการแพทย์ยุคแรก
ที่มีความเฉื่อยต่อสภาพแวดล้อมในร่างกาย
|
จะ
เห็นได้ว่า
มีการนำวัสดุการแพทย์มาใช้งานเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ถ้ากล่าวถึง
จุดเริ่มต้นของวัสดุการแพทย์ยุคใหม่ อาจจะ ถือได้ว่า
ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๐๓
โดยได้มีการจัดการประชุมวิชาการที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ด้านนี้
ซึ่งได้รวบรวมผู้ที่มีความสนใจ
และทำงาน
ในด้านการนำวัสดุไปใช้งานรักษาในทางการแพทย์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเคลมสัน
(Clemson University) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผลจากการประชุมในครั้งนั้นได้นำไปสู่การจัดตั้งสมาคมวัสดุการแพทย์
(Biomaterials Society) ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ตั้งแต่นั้นมา
วิทยาการทางด้านวัสดุการแพทย์จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังทั่วโลก
โดยมีนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ วิศวกร นักชีวเคมี นักวัสดุศาสตร์
และนักชีววิทยา ที่ทำงานจริงจังในด้านการวิจัย
และการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ การเลือกใช้
และการสังเคราะห์วัสดุการแพทย์ชนิดใหม่ๆ
เพื่อการใช้งานรักษาทางการแพทย์โดยเฉพาะ
เราอาจจะแบ่งพัฒนาการของวัสดุการแพทย์ออกได้เป็น
๓ ยุคด้วยกัน คือ ในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๒๓
เป็นยุคแรกของการแสวงหาวัสดุการแพทย์สำหรับการใช้งานภายในร่างกาย
โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อค้นหาวัสดุ
ที่มีสมบัติทางกายภาพที่ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อ
หรืออวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ ที่ต้องการนำไปซ่อมแซม สร้างเสริม
หรือทดแทน
โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ
หรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย ลักษณะสำคัญของวัสดุการแพทย์ในยุคแรก คือ
ความเฉื่อยต่อสภาพแวดล้อมภายในร่างกาย มีปฏิกิริยา
หรือก่อให้เกิดปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อภายในร่างกายต่ำมาก ใน พ.ศ. ๒๕๒๓
พบว่า มีอุปกรณ์ฝังในมากกว่า ๕๐ ชนิดได้รับการพัฒนาขึ้น
และมีการใช้วัสดุการแพทย์กว่า ๔๐ ชนิด สำหรับการผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว
เรามักเรียกวัสดุรุ่นแรกนี้ว่า วัสดุเฉื่อยทางชีวภาพ (bioinert
material)
ตัวอย่างวัสดุในกลุ่มนี้ ได้แก่ โลหะชนิดต่างๆ พลาสติกจำพวกพอลิเอทิลีน
เทฟลอน ไนลอน อะคริลิก และเซรามิก ประเภทอะลูมินา
หลังจาก พ.ศ. ๒๕๒๓
เป็นต้นมา พัฒนาการของวัสดุการแพทย์เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคที่ ๒
เมื่อความต้องการสภาพเฉื่อย ในการใช้งานของวัสดุการแพทย์ภายในร่างกาย
เริ่มได้รับความสนใจลดน้อยลง
แต่เพิ่มความสนใจในการพัฒนา
ให้วัสดุการแพทย์มีความสามารถในการก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่
ควบคุมได้
และเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโต
ของเนื้อเยื่อภายในร่างกายบริเวณใกล้เคียง
วัสดุที่มีความสำคัญในยุคที่ ๒ นี้ ได้แก่ วัสดุว่องไวทางชีวภาพ
(bioactive material)
ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถสร้างพันธะขึ้นกับเนื้อเยื่อ
โดยรอบได้ ทำให้เกิดเสถียรภาพ ในการใช้งาน
และส่งผลดีต่อการรักษาตัวของบาดแผลด้วย ตัวอย่างวัสดุในกลุ่มนี้ได้แก่
เซรามิก จำพวกไบโอกลาสส์ (Bioglass) ไฮดรอกซีแอปาไทต์ (hydroxyapatite)
และคอมโพสิตต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเหล่านี้ นอกจากนั้น
วัสดุอีกกลุ่มที่ประสบความสำเร็จไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันสำหรับยุคที่ ๒
ของวัสดุการแพทย์ ได้แก่ วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ซึ่งหมายถึง
กลุ่มวัสดุที่สามารถจะสลายตัว เมื่อถูกนำไปใช้งานในร่างกาย
ภายในกำหนดระยะเวลาหนึ่ง
โดยในขณะที่สลายตัว
ก็จะมีเนื้อเยื่อตามธรรมชาติที่เจริญเติบโตเข้ามาแทนที่
จนในที่สุดวัสดุดังกล่าวจะหายไปจากร่างกาย
เหลือไว้แต่เพียงเนื้อเยื่อตามธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นทดแทน
ตัวอย่างของวัสดุในกลุ่มนี้ ได้แก่ พอลิแลกติก พอลิไกลโคลิก
และโคพอลิเมอร์ของวัสดุทั้ง ๒ ชนิด ซึ่งถูกนำไปใช้งาเป็นไหมละลาย
แผ่นดามกระดูก และสกรูขนาดเล็กต่างๆ
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการใช้งาน
แต่วัสดุการแพทย์ทั้ง ๒ ยุคนี้ยังคงมีอายุการใช้งานที่สั้นเกินไป
โดยส่วนใหญ่สามารถทำงานอย่างดีได้เพียง ๑๐ - ๒๕ ปี เท่านั้น
หลังจากนั้นแล้ว จะต้องมีการผ่าตัด เพื่อเปลี่ยนทดแทนเป็นครั้งที่ ๒
ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุยืนยาว
หรือผู้ป่วยหนุ่มสาว
ถึงแม้จะมีความพยายามในการที่จะปรับปรุงและพัฒนาวัสดุเหล่านี้ให้มีอายุ
การใช้งานเพิ่มมากขึ้น
แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จมากนัก
ทั้งนี้เป็นเพราะขีดจำกัดของวัสดุการแพทย์ที่นำมาใช้งาน
ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์
ไม่สามารถที่จะตอบสนองหรือเปลี่ยนแปลงสภาพหรือสมบัติต่อการกระตุ้น
หรือสภาพภายในร่างกาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังเช่นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะตามธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้เอง ทำให้หลายฝ่ายมีความคิดว่าน่าจะต้องมีการพัฒนาในยุคที่
๓
ของวัสดุการแพทย์
ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัสด ุในธรรมชาติในการนำมารักษาผู้ป่วยในอนาคต
ปัจจุบันถือได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนถ่ายจากยุคที่ ๒
สู่ยุคที่
๓ ของวัสดุการแพทย์
วัสดุการแพทย์ในยุคที่ ๓
จะทำหน้าที่หลักในการสร้างเสริม (regeneration) แทนที่จะเป็นการทดแทน
(replacement) ดังเช่นวัสดุในยุคก่อน โดยทำหน้าที่ช่วยเหลือร่างกาย
ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
และสามารถกระตุ้นการตอบสนองของเซลล์ภายในร่างกาย ในระดับโมเลกุล
ในอนาคต แทนที่จะผลิตวัสดุสำเร็จสำหรับการใช้งาน
เราอาจเพียงแต่ผลิตวัสดุที่มีองค์ประกอบเฉพาะที่ถูกต้อง และเหมาะสม
กับการซ่อมแซมที่ต้องการ
จากนั้นองค์ประกอบเหล่านี้ จะไปกระตุ้นให้ระบบยีนภายในร่างกายมนุษย์
ควบคุมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นๆ
ทำให้เนื้อเยื่อที่ถูกสร้างเสริมขึ้นมีชีวิต
และสามารถตอบสนอง
ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายในร่างกายได้เช่นเดียวกับเนื้อเยื่อในธรรมชาติ
ตัวอย่างของเทคโนโลยียุคที่ ๓ นี้ ได้แก่ วิศวกรรมเนื้อเยื่อ (tissue
engineering)
ซึ่งเป็นการปลูกฝังเซลล์บางกลุ่ม
ลงไปบนโครงสร้างของวัสดุการแพทย์ที่เหมาะสม
เพื่อให้เซลล์เกิดการแบ่งตัว และเจริญเติบโต
ก่อนที่จะนำไปปลูกถ่ายในร่างกาย เพื่อให้ทำหน้าที่ต่อไป |
|