สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 33
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๔ / เรื่องที่ ๑ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ / ความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์และคณะพราหมณ์ในสยามประเทศ
ความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์และคณะพราหมณ์ในสยามประเทศ
ความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์และคณะพราหมณ์ในสยามประเทศ
ศาสนาพราหมณ์ และคณะพราหมณ์ ได้เข้ามามีบทบาทในดินแดนประเทศไทย ก่อนที่คนไทยจะสร้างอาณาจักรเป็นปึกแผ่น
นักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นว่า ไทยรับเอาศาสนาพราหมณ์มาหลายทาง
ทางแรก
ได้แก่ ภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลผ่านทางเขมรซึ่งขณะนั้นคือ
อาณาจักรฟูนัน ราวพุทธศตวรรษที่ ๖ โดยเขมรมีอิทธิพลและบทบาท
ทั้งทางการเมืองและทางศิลปะอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อน
ดังปรากฏหลักฐานจากโบราณสถาน เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย
ทางที่
๒ ได้แก่ ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันตก ได้รับอิทธิพลผ่าน อาณาจักรทวารวดี
ซึ่งมีเมืองนครปฐมเป็นศูนย์กลาง โดยรับเอาศาสนาพราหมณ์มาจากอินเดียโดยตรง
เนื่องจากในราว พ.ศ. ๓๐๓ เมื่อครั้งที่พระโสณเถระกับพระอุตรเถระ
เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวารวดี
พระเถระเหล่านี้เข้ามาในฐานะศาสนทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช
การเดินทางมาในครั้งนั้น มีคณะพราหมณ์จากอินเดีย ติดตามมาด้วย ด้วยเหตุนี้
นักวิชาการ อาทิ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และกาญจนา สุวรรณวงศ์
จึงสันนิษฐานว่า ศาสนาพราหมณ์ น่าจะได้ประดิษฐานตั้งมั่นในผืนแผ่นดินไทย
นับจากสมัยนั้นเป็นต้นมา ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยทวารวดี
ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ อาทิ เทวสถาน เทวรูป พระเป็นเจ้าต่างๆ
ในบริเวณจังหวัดในภาคตะวันตก เช่น ที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี
และกาญจนบุรี
ทางที่ ๓ ได้แก่ ภาคใต้ของไทย โดยรับผ่านพราหมณ์ที่มากับพ่อค้าอินเดียซึ่งเดินทางมาค้าขายที่เมืองท่าต่างๆ
ทางภาคใต้ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย โดยพบหลักฐานทางโบราณคดีอันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ในที่ต่างๆ
เป็นจำนวนมาก เช่น ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี พังงา พัทลุง
อย่างไรก็ดี
หลักฐานทางโบราณคดีที่รับอิทธิพลผ่าน ๓
อาณาจักรข้างต้นแสดงว่า ในระยะแรก ผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์นั้น
ส่วนใหญ่เป็นพวกชนชั้นสูง
เนื่องจากสถาบันกษัตริย์ยอมรับพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ ก็ยังคงนับถือพระพุทธศาสนา
และมีความเชื่อดั้งเดิม และบางส่วนมีความเชื่อผสมผสานระหว่างพระพุทธศาสนา
ศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อเรื่องผี
 โบราณสถานที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ ที่วัดศรีสวาย จ.สุโขทัย สร้างในสมัยสุโขทัย ต่อมา
เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
พระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์พระร่วงได้ทรงเอาพระทัยใส่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาก
แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเอาพระธุระในกิจการของศาสนาพราหมณ์ด้วย
ในฐานะทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก
ดังปรากฏจากโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์หลายแห่ง เช่น วัดศรีสวา วัดพระพายหลวง
ศาลตาผาแดง วัดเจ้าจันทร์ ที่ใช้เป็นเทวสถานในอาณาจักรสุโขทัย
รวมถึงหลักฐานในศิลาจารึกหลักต่างๆ เช่น ศิลาจารึกวัดศรีชุม
ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง โดยในจารึกวัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัย (หลักที่ ๔)
สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เป็นอักษรขอม ภาษาเขมร มีการกล่าวถึง
การสร้างเทวรูปไว้สำหรับบูชา และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงแปลได้ความดังนี้
"...แล้วทรงหล่อรูปพระศรีอาริย์พระองค์หนึ่ง
ประดิษฐานไว้ในพระวิหารคด ทิศใต้ในอาราม
ครั้งหนึ่งตรัสสั่งนายศิลปินนายช่าง ให้หล่อรูปพระนเรศ พระมเหศวร
พระวิษณุกรรม รูปพระสุเมธวรดาบส พระศรีอาริย์ ทั้งห้ารูปนี้
ประดิษฐานไว้ในหอเทวาลัยมหาเกษตรพิมาน ไว้เป็นที่นิพัทธบูชา ณ
ตำบลป่ามะม่วง..."
ในสมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานร่องรอยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์อย่างเด่นชัด
ในสมัยนี้ศาสนาพราหมณ์ได้แพร่หลายมาก ในกลุ่มชนชั้นสูง
คติความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
ได้เข้ามาผสมผสานกับพิธีกรรมดั้งเดิมของคนไทยนับแต่นั้นมา ที่สำคัญคือ
การรับเอาคติ เทวราชา
ซึ่งเป็นหลักการที่ยอมรับสถานะของพระเจ้าแผ่นดินว่า ทรงเป็น เทวราช
หรือผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเป็นเจ้า (พระนารายณ์ หรือพระอิศวร)
หลักการนี้ได้นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
นับแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองเป็นต้นมา
ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคติเทวราชาชัดเจน คือ
การเฉลิมพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน ให้พ้องกับพระนามของพระเป็นเจ้า อาทิ
สมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระยาราม สมเด็จพระนเรศวร
และสมเด็จพระนารายณ์ นอกจากนี้การออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินในพระราชพงศาวดาร
ก็มักเติมสร้อยพระนาม ให้มีพระนามของพระเป็นเจ้ารวมอยู่ด้วย ดังใน "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)"
ที่ออกพระนามสมเด็จพระเอกาทศรถว่า พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวร
และด้วยเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเทวราชนี้เอง
พราหมณ์จึงได้นำเอาพิธีต่างๆ
เข้ามาใช้ในพระราชสำนักเพื่อเสริมสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน
ดังนั้น พราหมณ์ในสมัยนั้นจึงได้รับการยกย่องอย่างมาก
 วัดศรีชุม จ.สุโขทัย มีศิลาจารึก สมัยสุโขทัย ถือเป็นหลักฐานเก่าแก่ ที่กล่าวถึงบทบาทของพราหมณ์ในสังคมไทย นอกจากพราหมณ์ราชสำนักในกรุงศรีอยุธยาแล้ว
ยังมีพราหมณ์จากอินเดียใต้
หรือปัญจทราวิฑเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ภาคใต้ของไทย
นอกเหนือไปจากชุมชนพราหมณ์ที่ได้อาศัยอยู่มาก่อนหน้านี้แล้ว
การเข้ามาครั้งนี้มีปรากฏอยู่ใน ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช
ที่กล่าวว่า พ.ศ. ๑๘๙๓ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง
มีพ่อค้าจากเมืองรามนคร มาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา
เมื่อกลับบ้านเมืองได้ไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินของตนว่า
ยังมีองค์พระนารายณ์อวตารอีกองค์หนึ่ง ที่กรุงศรีอยุธยา
พระเจ้ารามนครได้ทรงสดับเช่นนั้นก็มีพระราชประสงค์จะเจริญพระราชไมตรีด้วย
จึงได้พระราชทานเทวรูปพระนารายณ์ เทวรูปศรีลักษมี เทวรูปพระอิศวร
พระมเหวารีย์บรมหงษ์ และชิงช้าทองแดง มาถวายพระเจ้าแผ่นดินไทย
โดยให้คณะพราหมณ์ ๕ เหล่า
มีพราหมณ์ธรรมนารายณ์เป็นหัวหน้า เดินทางมาสู่กรุงศรีอยุธยา
ในระหว่างทางมีพายุพัดเรือมาเข้าฝั่งที่ปากแม่น้ำตรัง
กรมการเมืองได้รายงานไปยังเมืองนครศรีธรรมราช
เจ้าพระยานครศรีธรรมราชจึงรายงานต่อไปยังพระราชสำนัก
จึงโปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดีไปรับเทวรูป มาประดิษฐานไว้ที่กรุงศรีอยุธยา
แต่ปรากฏว่าเดินทางไปไม่ได้ เนื่องจากเกิดพายุขึ้นอีก
จึงมีพระบรมราชานุญาต ให้นำมาประดิษฐานไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช
โดยโปรดให้คณะพราหมณ์ ๕ เหล่าเป็นผู้รักษา
อีกทั้งยังมอบหมายหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ปรากฏหลักฐาน เป็นข้อความใน
ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช ดังนี้
"...
อนึ่ง มีตราพระมหาราชครู
แลตราเจ้าพระยาโกษาโปรดออกมาลุแก่เจ้าเมืองผู้รั้ง
กรมการผู้ได้เปนพนักงานสำหรับแผ่นดินเมืองนครให้ทำพิธีมงคลโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานไว้ สำหรับพิธีกรรมโรหิตนี้
พิธีจองตังเปรียงสาดโคม ตรียำพวาย ติริยปา-วาย พิธียกประตูเมืองทั้งเก้า
แลทำภลมินลงบา ค่ายปากน้ำ ตั้งพระหลักเมือง พิธีแซกทำอุบาทว์เมือง
พิธีสระสนาน ฝังหลักช้างโรงโขลนทวาร เบิกไพร ทอดเชือก ดามเลือก สระหัวช้าง
พิธีสูดเมฆให้ฝนตก สุริน อุปราคา สนานลาไพร ทำหมดควาน กงคราวยะ มงคลพิธี
๒๐ ประการ
ทรงพระกรุณาโปรดให้ไว้เปนพิธีพราหมณ์ ตั้งกุณฑ์มงคลฝ่ายเดียว อนึ่ง
เศกสมโภช ที่พระศรีรัตนมหาธาตุ สัพพันมงคลเดือนสิบ ขึ้นศรีมงคลเดือนศรีก็ดี แลบริสุทธิอุบาทว์มงคลศรีรัตนมหาธาตุ แลอัฐยันศรียะพิธี ๕
ประการนี้ โปรดไว้ให้พระสงฆ์แลพราหมณ์ตั้งกุณฑ์พิธีเข้ากัน ..."
คณะพราหมณ์กลุ่มนี้จึงตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองใกล้เคียงนับแต่นั้นมา
ภายหลังมีพราหมณ์ส่วนหนึ่ง ได้อพยพย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองเพชรบุรี
จนกลายเป็นชุมชนพราหมณ์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
 เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ สำหรับพระนคร ที่ ถ.ดินสอ ในเขตพระนคร กรุงเทพฯ เยื้องๆ กับเสาชิงช้า และวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อคราวที่สถาปนากรุงเทพฯ
เป็นราชธานีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระราชดำริว่า
เหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ นั้น ส่งผลให้ตำราต่างๆ
ถูกทำลาย และสูญหายไปจำนวนมาก รวมทั้งพราหมณ์ราชสำนักก็พลัดหายไป
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปสืบหาตำราต่างๆ
ที่หัวเมืองปักษ์ใต้มายังกรุงเทพฯ
และให้นำพราหมณ์ภาคใต้ขึ้นมารับราชการเป็นพราหมณ์ประจำพระราชสำนัก
เพื่อรื้อฟื้นและวางหลักของพิธีการต่างๆ
สำหรับพระนครให้เหมือนกับสมัยอยุธยา นอกจากนี้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเทวสถานโบสถ์พราหมณ์สำหรับพระนครขึ้น
โดยอยู่เยื้องกับวัดสุทัศนเทพวราราม คณะพราหมณ์เหล่านี้ จึงตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเทวสถาน
และเกิดเป็นชุมชนโบสถ์พราหมณ์ มาจนถึงปัจจุบัน
|
|