เจดีย์แบบล้านนา (พุทธศตวรรษที่ ๑๙-ปัจจุบัน)
เมื่อพระเจ้ามังรายยึดครองเมืองหริภุญชัยได้ไม่นาน ใน พ.ศ. ๑๘๓๙
เสด็จมาสถาปนาเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานีของแคว้นล้านนา
แม้ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งแสดงถึงการสืบทอดรูปแบบเจดีย์มาจากเจดีย์แบบหริภุญชัย
แต่รูปแบบเจดีย์บางองค์ของสมัยราชธานีล้านนาก็อาจเชื่อมโยงกับเจดีย์แปดเหลี่ยมในศิลปะหริภุญชัยได้
โดยเฉพาะการทำทรงระฆังที่ตั้งต่อด้วยยอดทรงกรวย เจดีย์แบบนี้เรียกว่า
เจดีย์ทรงปราสาทยอด เจดีย์ทรงปราสาทยอดที่มียอดกลางใหญ่เป็นประธาน
และมียอดเล็กประกอบอีก ๔ ยอด จึงอาจเรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาท ๕ ยอด ได้แก่
เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ในตำนานการสร้างวัดนี้ระบุว่าสร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าแสนภู ราว พ.ศ. ๑๘๗๑
ที่มาของเจดีย์ทรงปราสาทยอดองค์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเจดีย์ในศิลปะพม่าสมัยเมืองพุกาม
คือ รูปแบบของซุ้มอันมีแท่งตั้งประดับเรียงรายอยู่ที่กรอบซุ้ม ไทยเรียกว่า
ซุ้มฝักเพกา แต่พม่าเรียกชื่อเฉพาะว่า ซุ้มเคล็ก (clec)
เจดีย์แบบล้านนาอีกองค์
คือ เจดีย์เชียงยืน ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร อำเภอเมืองฯ
จังหวัดลำพูน เป็นเจดีย์ทรงปราสาท ๕ ยอดเช่นกัน แต่ตั้งอยู่บนฐานเตี้ย
จึงเกิดประเด็นถกเถียงว่าน่าจะมีอายุก่อนหรือหลังเจดีย์วัดป่าสัก
เพราะโดยทั่วไปแล้ว
สัดส่วนที่สูงขึ้นเป็นแนวโน้มทางวิวัฒนาการอย่างหนึ่งของเจดีย์
จึงพิจารณากำหนดอายุเจดีย์เชียงยืน ซึ่งมีฐานเตี้ยว่า สร้างก่อนหรือหลังเจดีย์วัดป่าสักเล็กน้อย
ส่วนยอดที่เป็นรูปแบบทรงกรวย อาจเป็นรูปแบบดั้งเดิม โดยแผ่นโลหะ (ทองจังโก)
ที่ยังหลงเหลืออยู่อาจหุ้ม เพื่อลงรักและปิดทอง
ทรงระฆังมีลวดลายปูนปั้นคาดประดับโดยรอบ เรียกว่า รัดอก
จึงสันนิษฐานได้ว่าเจดีย์เชียงยืนอาจเป็นศิลปะหริภุญชัย หรือศิลปะล้านนา
พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙
| เจดีย์เชียงยืน วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน |
เจดีย์ทรงระฆังที่เป็นรูปแบบเฉพาะของล้านนา
คือ เจดีย์พระธาตุหริภุญชัย เป็นเจดีย์ทรงสูงเพรียว และเหตุที่เรียกกันว่า
"เจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนา" เพราะมีรูปแบบที่เด่นชัดมากตามแบบศิลปะล้านนา
ลักษณะสำคัญคือ ฐานสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม (หรือเรียกว่า ฐานยกเก็จ)
ต่อขึ้นไปเป็นฐานในผังกลมซ้อนลดหลั่นกันจำนวน ๓ ฐาน
ชุดฐานดังกล่าวรองรับทรงระฆัง ซึ่งมีทรงกรวยเป็นส่วนยอด
ในบางตำนานระบุสมัยที่สร้างพระธาตุเจดีย์องค์นี้ว่ามีความเก่าแก่มาก
โดยผ่านการบูรณะเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ
แต่จากการศึกษาพัฒนาการด้านรูปแบบของเจดีย์
สรุปได้ว่า เจดีย์ทรงนี้คงเป็นรูปแบบเฉพาะในรัชกาลพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ.
๑๙๘๔-๒๐๓๐) แห่งอาณาจักรล้านนา |
พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน |
ในราชธานีเชียงใหม่
การสร้างเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมประเภทปราสาทยอดที่วัดสะดือเมืองซึ่งเดิมเป็นวัดร้าง
ยังไม่ปรากฏประวัติที่แน่ชัด
แต่อาศัยลวดลายปูนปั้นที่หลงเหลืออยู่เป็นแนวสันนิษฐานกำหนดอายุ
ซึ่งลวดลายประดับดังกล่าวนั้น มีลักษณะและกรรมวิธีปั้นประดับที่แตกต่างกันไม่น้อยกว่า
๒ แห่ง แสดงว่าต่างยุคสมัยกัน สันนิษฐานได้จากงานช่าง
ซึ่งฝีมือช่างที่สร้างคงประมาณแรกเริ่มราชธานีเชียงใหม่ ราว พ.ศ. ๑๘๕๐
และจาก งานซ่อม ที่มีการซ่อมแซมหลายครั้ง ในระยะเวลาต่อมา
การซ้อนชั้นของหลังคาเหนือเรือนธาตุสื่อความหมายของปราสาทที่เป็นเรือนชั้น
ส่วนทรงกรวยซึ่งประกอบด้วย ทรงระฆัง ปล้องไฉน และปลี นั้น สื่อความหมายของ
"ทรงปราสาทยอด"
|
เจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ |
ในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึงงานสร้าง
เจดีย์หลวง ในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมา (พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๔๔)
ต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔-๒๐๓๐)
โปรดให้ก่อหุ้มพระมหาธาตุเจดีย์องค์นี้ให้สูงใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก
และแปลงยอดให้มีระเบียบ กระพุ่มยอดเป็นอันเดียว แสดงว่า
รูปแบบเดิมของเจดีย์องค์นี้คงเคยเป็นเจดีย์ทรงปราสาท ๕ ยอดมาก่อน
ปัจจุบันยอดของเจดีย์ที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดของเมืองเชียงใหม่องค์นี้ได้ทลายลงแล้ว
เมื่อได้พิจารณาจากเค้าเดิมของหลังคาที่ลาดซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป
แสดงว่าเคยรองรับทรงระฆัง (ทรงระฆังดังกล่าวได้ทลายลง
จนเหลือแต่ส่วนปากระฆังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น) ซึ่งโดยแบบแผนแล้ว
เหนือทรงระฆังต้องต่อยอดด้วยทรงกรวย ของเจดีย์ทรงปราสาทยอด |
เจดีย์เจ็ดยอด วัดมหาโพธาราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ | เจดีย์แบบพิเศษอีกองค์หนึ่งที่มียอด
๗ ยอด บางครั้งจึงเรียกกันว่า "วิหาร"
เพราะมีห้องคูหาสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
อาจผนวกเรียกว่า เจติยวิหาร แต่ที่เรียกกันจนเคยชินคือ เจดีย์เจ็ดยอด หรือ
วิหารเจ็ดยอด ของวัดมหาโพธาราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่
ชื่อวัดนี้เรียกอย่างสามัญว่า วัดเจ็ดยอด หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่า
สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๙ ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. ๒๐๒๐
ในระหว่างรัชกาลพระเจ้าติโลกราช
อาจพิจารณาได้ว่าอยู่ในวาระที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๐๐๐ ปี
เค้าโครงของศาสนาคารแห่งนี้มีต้นแบบดั้งเดิมอยู่ในศิลปะอินเดียโบราณ
ซึ่งคงได้รับอิทธิพลผ่านมาทางศิลปะพม่าสมัยเมืองพุกาม
ภาพปูนปั้นเหล่าเทพยดาประดับผนังเจติยวิหารแห่งนี้ มีความหมายสอดคล้องกับพุทธประวัติตอนตรัสรู้
ที่กล่าวถึงเหล่าเทพยดาจากหมื่นจักรวาล พากันมาชื่นชมยินดีท่ามกลางดอกไม้สวรรค์ที่โปรยปรายมาไม่ขาดสาย
ช่างได้ปั้นประดับรูปดอกไม้เหล่านั้นเป็นพื้นหลังของภาพเทพยดาด้วย |
อนึ่ง
งานสร้างวัดในครั้งนั้นได้โปรดให้สร้างสัตตมหาสถานด้วย ซึ่งหมายถึง
สถานที่ ๗ แห่งที่พระพุทธองค์ประทับใน ๗ สัปดาห์ หลังการตรัสรู้
|