สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน
เมนู 38
|
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๓๘ / เรื่องที่ ๗ รังสี / การป้องกันรังสี
การป้องกันรังสี
การป้องกันรังสี
การที่รังสีมีอันตรายต่อชีวิต
ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ด้านรังสีจึงมีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งองค์กร
เพื่อจัดทำคำแนะนำ
และกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานในเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสี
ซึ่งมีหลายองค์กรทั้งระดับระหว่างประเทศและระดับประเทศ
องค์กรที่ควรกล่าวถึง ได้แก่
- คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ ว่าด้วยการป้องกันอันตรายจากรังสี (International Commission on Radiological Protection: ICRP)
- ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency: IAEA)
- องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO)
- คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยหน่วยทางรังสีและการตรวจวัด (International Commission on Radiation Units and Measurement: ICRU)
- คณะกรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ของประเทศไทย (Atomic Energy For Peace Committee)
องค์กรแต่ละองค์กรได้เสนอแนะแนวทางในการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการป้องกันรังสี
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไป
ข้อเสนอแนะต่างๆ เหล่านั้น ประเทศที่มีการใช้ประโยชน์จากรังสีได้นำไปใช้
โดยอาจใช้โดยตรง หรือมีการปรับปรุงให้เหมาะกับการใช้ในประเทศของตน |
ป้ายรังสี สำหรับติดบริเวณที่มีรังสี
|
โดยสรุป ได้มีการกำหนดปริมาณรังสีที่ยอมรับกันว่ามีความปลอดภัย ในกรณีที่ถูกรังสีทั้งร่างกาย ดังนี้
- สำหรับผู้ทำงานทางรังสี ๒๐ มิลลิซีเวิร์ตต่อปี (สมัยก่อนใช้ ๕ เร็ม = ๕๐ มิลลิซีเวิร์ตต่อปี)
- สำหรับประชาชนทั่วไป ๑ มิลลิซีเวิร์ตต่อปี (สมัยก่อนใช้ ๐.๕ เร็ม = ๕ มิลลิซีเวิร์ตต่อปี)
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดปลีกย่อยต่างๆ
อีกมากมาย เช่น ไอโซโทปกัมมันตรังสีแต่ละชนิดสะสมในร่างกายได้เท่าไร
ในน้ำดื่มได้เท่าไร ในอากาศได้เท่าไร
และถ้ามีหลายอย่างปนกันจะมีวิธีการคำนวณอย่างไร
รวมทั้งเวลาเกิดอุบัติเหตุทางรังสี จะต้องปฏิบัติอย่างไร
ตลอดจนการขนส่งสารกัมมันตรังสี
การเก็บและการกำจัดกากกัมมันตรังสีต้องทำอย่างไร
| สำนักงานทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย |
แม้รังสีจะมีอันตราย
แต่ก็มีประโยชน์เช่นกัน เราสามารถนำรังสีมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องหาวิธีการ
ที่จะป้องกันไม่ให้รังสีเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แนวทางง่ายๆ คือ
ต้องหาวิธีการที่จะทำให้ได้รับรังสีน้อยที่สุด
โดยงานที่ต้องใช้ประโยชน์จากรังสีนั้น ไม่เสียหาย
ถึงแม้ว่าระดับรังสีที่มีอยู่จะยอมรับได้ว่าปลอดภัย
แต่นั่นเป็นขีดจำกัดที่กำหนดไว้ เป็นหลักในการออกแบบ
และวางแผนการทำงานด้านรังสีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ
ผู้ทำงานทางรังสีจะต้องป้องกันตนเอง เพื่อให้ได้รับรังสีน้อยที่สุด
และต้องไม่เกินระดับที่ร่างกายสามารถรับได้
สำหรับหลักการป้องกันอันตรายจากรังสีนั้น มีข้อปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้
๑. กรณีต้นกำเนิดรังสีชนิดปิดผนึก (Sealed source)
ต้นกำเนิดรังสีชนิดปิดผนึก
หมายถึง สารกัมมันตรังสีถูกบรรจุอยู่ในภาชนะโลหะที่ห่อหุ้มปิดมิดชิด
สารกัมมันตรังสีไม่สามารถเล็ดลอดออกมาข้างนอกได้
ที่ออกมาได้มีแต่รังสีที่แผ่ออกมาเท่านั้น
การทำงานกับต้นกำเนิดรังสีชนิดปิดผนึกที่จะทำให้ตนเองได้รับรังสีน้อยนั้น
มีหลักปฏิบัติง่ายๆ ๓ ข้อ คือ
๑. เวลา
ใช้เวลาปฏิบัติงานในบริเวณที่มีรังสีให้น้อยที่สุด
หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่นานจะต้องคำนวณระยะเวลาว่าอยู่ได้นานที่สุดเท่าไร
จึงจะรับรังสีไม่เกินระดับที่ยอมรับได้โดยปลอดภัย
ปกติในบริเวณที่มีรังสีจะมีป้ายบอกระดับรังสี และถ้าระดับรังสีค่อนข้างสูง
จะมีการบอกถึงระยะเวลาที่สามารถอยู่ได้ในบริเวณนั้นด้วย นอกจากนี้
ควรหลีกเลี่ยงการทักทายพูดคุยที่ไม่จำเป็นในบริเวณที่มีรังสี
๒. ระยะทาง
พยายามอยู่ให้ห่างจากต้นกำเนิดรังสีให้มากที่สุด
เพราะระดับรังสีจะลดลง ๔ เท่า เมื่อระยะทางห่างออกไป ๑ เท่า
หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายต้นกำเนิดรังสี อย่าใช้มือจับ
เพราะจะได้รับรังสีที่มือปริมาณสูงมาก ควรใช้ปากคีบหรือใช้คีมจับ
ที่มีด้ามยาวๆ และต้องถือให้ต้นกำเนิดรังสีห่างจากตัวมากที่สุด
๓. เครื่องกำบังรังสี
กรณีที่ต้นกำเนิดรังสีแผ่รังสีในปริมาณสูง
ต้องทำให้ระดับรังสีที่สูงนั้นลดน้อยลงจนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ซึ่งสามารถทำได้ โดยการใช้เครื่องกำบังรังสีวางกั้น
หรือวางล้อมรอบไว้ระหว่างต้นกำเนิดรังสีกับตัวเรา
วัสดุที่ใช้กั้นรังสีแกมมาและรังสีเอกซ์ นิยมใช้ตะกั่วหรือคอนกรีต
ส่วนรังสีนิวตรอนจะใช้น้ำหรือพาราฟิน
สำหรับรังสีแอลฟาและรังสีบีตาไม่ค่อยมีปัญหา เพราะรังสีแอลฟา
ใช้เพียงกระดาษหนาเล็กน้อยก็กั้นได้
ส่วนรังสีบีตาใช้แผ่นอะลูมิเนียมที่ไม่หนามากนัก | | ๒. กรณีต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึก (Unsealed source)
ต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึก
หมายถึง สารกัมมันตรังสีที่ไม่ได้มีการบรรจุหรือห่อหุ้มปิดผนึกมิดชิดถาวร
ต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึกอาจเกิดการแพร่กระจาย ฟุ้งกระจาย
หกเปรอะเปื้อน หรือรั่วซึมออกจากภาชนะที่บรรจุได้
ในการทำงานกับต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึกนี้
นอกจากต้องใช้หลักการ ๓ ข้อ
คือ เวลา ระยะทาง และเครื่องกำบังรังสีแล้ว
ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในการหยิบจับ
และต้องระวังไม่ให้สารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทางจมูก
ทางปาก และการสัมผัสกับผิวหนัง ปกติการทำงานกับต้นกำเนิดรังสีแบบนี้
จะทำในตู้ควันที่มีระบบการระบายอากาศผ่านแผ่นกรอง
กักสารกัมมันตรังสีอย่างดี
การทำงานกับต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึกจะยุ่งยากมากกว่าต้นกำเนิดรังสีชนิดปิดผนึก
เพราะต้องมีความรู้ในด้านการขจัดสิ่งเปรอะเปื้อนสารกัมมันตรังสี
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุสารกัมมันตรังสีหกรดพื้น เปื้อนอุปกรณ์ เครื่องมือ
และตัวเอง
ในการป้องกันอันตรายจากรังสี
สิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องทราบก่อนให้ได้ คือ
บริเวณที่ปฏิบัติงานมีระดับปริมาณรังสี มากหรือน้อยเท่าไร
ตัวผู้ปฏิบัติงานจะได้รับปริมาณรังสีเท่าไร
และถ้าเป็นการปฏิบัติงานกับต้นกำเนิดรังสีชนิดไม่ปิดผนึก ก็ต้องทราบว่า
อากาศในบริเวณที่ทำงานมีสารกัมมันตรังสีฟุ้งกระจายปนอยู่เท่าไร |
|