เล่มที่ 30
หอพระไตรปิฎก
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
หอพระ มณเฑียรธรรม หรือหอพระไตรปิฎกของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

            ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด มีลักษณะเป็นอาคารเครื่องก่อ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างโบสถ์วิหารทั่วไป หอพระมณเฑียรธรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นหอพระไตรปิฎกที่สร้างขึ้นแทนหอเดิมกลางสระน้ำ

            เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้นพระองค์มีพระราชดำริ ที่จะเจริญรอยตามพระราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณในการสร้าง พระราชมณเฑียรใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอารามขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งประกอบด้วย พระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร ศาลาราย พร้อมทั้งขุดสระ และสร้างหอพระไตรปิฎกลงในสระ แล้วพระราชทานนามว่า หอพระมณเฑียรธรรมซึ่งแปลตามรูปศัพท์ หมายถึง เป็นที่สถิตแห่งธรรม โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงและใช้เป็นสถานที่ทำงาน ของบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต ที่เป็นอาจารย์ทำหน้าที่ตรวจสอบ และบอกพระไตรปิฎก แก่พระสงฆ์สามเณรด้วย เนื่องจากในระหว่างสงครามนั้น หนังสือคัมภีร์ต่างๆได้กระจัดกระจายพลัดหายไป มีไม่ครบจบเรื่องเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีพระราชประสงค์ที่จะรวบรวมและ สร้างขึ้นใหม่ให้ครบ จึงใช้หอพระมณเฑียรธรรมเป็นสถานที่รวบรวมหนังสือของหลวง และโปรดเกล้าฯให้กระทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ที่วัดนิพพานาราม (ปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ราชวรมหาวิหาร)และให้ช่างจารพระไตรปิฎกที่ สังคายนาแล้ว ลงใบลานด้วยอักษรขอม ตกแต่งคัมภีร์ ลงรักปิดทองทึบตลอด เป็นฉบับหลวง เรียกว่า ฉบับ ทองทึบ ในรัชกาลต่อมา มีการสร้างคัมภีร์ปิดทองขึ้นอีกจึงเรียกฉบับทองทึบที่สร้างในรัชกาลที่ ๑ ว่า ฉบับ ทองใหญ่

            เมื่อการสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับหลวงตามที่สังคายนาสำเร็จใน พ.ศ. ๒๓๓๑ แล้ว ได้อัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งในหอพระมณเฑียรธรรมกลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้มีการมหรสพสมโภชพระไตรปิฎก และหอพระมณเฑียรธรรมในคืนวันสมโภชนั้น เวลาจุดดอกไม้เพลิง  ลูกพลุปลิวไปตกลงบนหลังคาหอพระมณเฑียรธรรม เกิดเพลิงไหม้ขึ้นแม้ว่าจะสามารถยกตู้ประดับมุก และขนคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาได้ทั้งหมด แต่เพลิงก็ไหม้หอพระมณเฑียรธรรมหมดทั้งหลัง


หอพระมณเฑียรธรรม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงฉบับต่างๆ
และใช้เป็นสถานที่ทำงานของนักปราชญ์ราชบัณฑิตในสมัยก่อน

            พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้ถมสระ เดิมนั้น แล้วสร้างพระมณฑปขึ้นแทน สำหรับใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกแทนหอพระมณเฑียรธรรมเดิม ที่ถูกเพลิงไหม้ แต่พระมณฑปเล็กและแคบ ไม่พอที่จะเก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงไว้ได้ทั้งหมด ครั้งนั้นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงทรงรับอาสาให้ช่างวังหน้า มาสมทบสร้างหอพระมณเฑียรถวายใหม่อีกหลังหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระมณฑป

            ใน พ.ศ. ๒๓๓๒ การสร้างพระมณฑป และหอพระมณเฑียรธรรมได้สำเร็จบริบูรณ์ จึงได้เชิญตู้ประดับมุก ซึ่งประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ มาตั้งไว้ในพระมณฑป ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่น ซึ่งเป็นของเดิมเรียกกันว่า ฉบับครูเดิม และที่สร้างขึ้นใหม่นอกจากที่อยู่ในพระมณฑป ให้ใส่ตู้ทองลายรดน้ำ เก็บไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ฉะนั้นจึงมีหนังสือเป็นจำนวนมาก และสมบูรณ์เกือบทุกฉบับ ทำให้หอพระมณเฑียรธรรม มีลักษณะเป็นหอสมุดพระพุทธศาสนาของหลวงหลังแรก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

            นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมราชบัณฑิต ตั้งอยู่ในหอพระมณเฑียรธรรม โดยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง ของคัมภีร์ พระไตรปิฎกฉบับต่างๆ และดูแลรักษาหนังสือ ในหอพระมณเฑียรธรรมไปด้วย หอพระมณเฑียรธรรมของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงเป็นศูนย์รวมแห่งนักปราชญ์ราชบัณฑิตประจำราชสำนัก และยังเคยใช้เป็นสถานที่สอบบาลีสนามหลวง (คือ การสอบไล่ ทดสอบความรู้ภาษาบาลี ซึ่งดำเนินการโดยรัฐ) ของพระสงฆ์สามเณร เพื่อเลื่อนฐานะเปรียญธรรม


พระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ ที่จารลงบนใบลาน

            เห็นได้ว่า ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หอพระมณเฑียรธรรม หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า หอหลวง นั้น มิได้ใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกแต่เพียงอย่างเดียว กิจการงานต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมราชบัณฑิต ก็ได้ปฏิบัติกันในหอพระมณเฑียรธรรมทั้งสิ้น เช่น ในโอกาสที่พระราชโอรสพระราชธิดาประสูติใหม่ ยังมิได้พระราชทานนาม ก็โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตประชุมกันในหอพระมณเฑียรธรรม  เพื่อตั้งพระนามทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวินิจฉัยอย่างไรแล้ว จึงประกอบพิธีจารึกพระนามลงพระสุพรรณบัฏเจ้านายต่างกรม ที่หอพระมณเฑียรธรรมนั้น นอกจากนี้ ยังใช้เป็นสถานที่จารึกพระราชสาส์นที่มีไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นที่แปลพระราชสาส์นที่ต่างประเทศมีมาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว   กับทั้งใช้เป็นที่ประชุมลูกขุน ณ ศาลา เช่นเดียวกับหอพระราชสาส์นครั้งกรุงเก่าด้วย


ตู้พระไตรปิฎกประดับมุก
ในหอพระมณเฑียรธรรม

            ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หอพระมณเฑียรธรรม ยังใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหนังสือของหลวง และสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่าง ได้แก่

            ๑. ตู้พระไตรปิฎกประดับมุกคู่หนึ่ง ตกแต่งลวดลายวิจิตรงดงามหาที่เปรียบได้ยาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า ตู้ทั้งสองใบนี้ แต่เดิมคงจะมิได้สร้างขึ้นสำหรับตั้งในหอพระมณเฑียรธรรมแห่งนี้ แต่ได้เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น

            ๒. ตู้พระไตรปิฎกลายทองใบใหญ่ ซึ่งทำขึ้น สำหรับใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎก ในหอพระมณเฑียรธรรมโดยเฉพาะ

            ๓. พระแท่นบรรทมประดับมุก ได้ตกแต่งลวดลายแบบเดียวกับพระแท่นเศวตฉัตร ซึ่งตั้งอยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่เดิมพระแท่นบรรทมนี้ คงจะตั้งอยู่ในพระที่นั่งแห่งใดแห่งหนึ่ง ภายหลังจึงได้เคลื่อนย้ายมาตั้งในหอพระมณเฑียรธรรม


คัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับเทพชุมนุม


บานประตูหอพระมณเฑียรธรรม

            หนังสือในหอพระมณเฑียรธรรมซึ่งได้รวบรวมไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ นั้น บางชุดได้ใช้ในการสอบไล่พระปริยัติธรรม และมีการอนุญาตให้วัดต่างๆ หยิบยืมไปใช้เสมอ จนมาถึงรัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการตรวจสอบบัญชีหนังสือพระไตรปิฎก ในหอพระมณเฑียรธรรม ปรากฏว่า หนังสือขาดบัญชีไปเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่ สำหรับของหลวง คัมภีร์พระไตรปิฎกชุดนี้ ในกรมราชบัณฑิต เรียกชื่อว่า ฉบับรดน้ำแดง ซึ่งสร้างขึ้นเพียงชุดเดียว แต่สร้างไม่ครบทั้งชุด

            นอกจากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ ยังมีการสังคายนาสวดมนต์ ที่กล่าวว่า สังคายนาสวดมนต์นั้น ที่จริงคือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปลพระปริตรทั้งหลายออกเป็นภาษาไทยนั่นเอง และในครั้งนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าศศิธร เป็นหัวหน้า ชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายใน ฝึกหัดสวดพระปริตร โดยทรงกำหนดให้ราชบัณฑิตเข้าไปบอกที่พระทวารเทวราชมเหศวร และข้าราชการฝ่ายในท่องต่ออยู่ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ นับเป็นการเริ่มต้นครั้งแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่สตรีสวดพระปริตร

            ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคสมัยที่มีการฟื้นฟู และส่งเสริมในด้านการพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ และสถาปนาพระอารามขึ้นหลายแห่ง รวมทั้งหอพระมณเฑียรธรรมก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการของพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์สามเณรในรัชกาลนั้น มีความอุตสาหะเล่าเรียนพระปริยัติธรรมกันอย่างแพร่หลาย การศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎกได้รับความนิยมทั่วไป ทั้งในกรุงและนอกกรุง พระสงฆ์สามเณรสามารถสอบไล่หนังสือได้ เปรียญเอก โท ตรี เป็นจำนวนมาก และถ้าพระสงฆ์สามเณรลาสิกขาแล้ว จะไปทำราชการในกรมใด ก็ให้ทำได้ตามใจสมัคร ด้วยเหตุนี้เอง ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงมีผู้รู้ที่อยู่ในขั้นนักปราชญ์ ทั้งพระสงฆ์ และฆราวาสเป็นจำนวนมาก


ทวย ที่รองรับชายคา
ของหอพระมณเฑียรธรรม

            นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระไตรปิฎก สำหรับหอหลวงอีก ๕ ฉบับ คือ

            ๑. ฉบับรดน้ำเอก เมื่อสร้างเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ ให้เก็บไว้ในหอพระเจ้า ภายในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังพระไตรปิฎกชุดนี้ถูกน้ำฝนชะ และปลวกกิน ทำให้หนังสือชำรุดไปบ้าง ในรัชกาลต่อมา จึงโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ ที่หอพระมณเฑียรธรรม

            ๒. ฉบับรดน้ำโท สร้างสำหรับหอหลวง เพื่อใช้ในการสอบไล่พระปริยัติธรรม

            ๓. ฉบับทองน้อย คัมภีร์ฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ช่างผู้หญิงฝึกหัดจารหนังสือที่ตำหนักแพ นับเป็นคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงฉบับแรก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่จารโดยฝีมือช่างผู้หญิง

            ๔. ฉบับเทพชุมนุม ๒ ชุด สำหรับพระราชทาน ไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร คัมภีร์ทั้ง ๒ ชุดนี้ ต่อมาถูกฝนชะ และปลวกกินชำรุดเสียหายเป็นจำนวนมาก ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายคัมภีร์พระไตรปิฎกส่วนที่เหลือมาเก็บรักษาไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรวจสอบบัญชีหนังสือในหอพระมณเฑียรธรรมอีก ปรากฏว่า หนังสือขาดบัญชีไปเป็นจำนวนมาก เช่นเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๒ ดังนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมแทนของเก่าที่หายไป หนังสือชุดนี้เรียกว่า ฉบับ ล่องชาด

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารคัมภีร์พระไตรปิฎกขึ้นอีกเรียกว่า ฉบับ ทองทึบ และเนื่องจากในรัชกาลนี้ มีการพิมพ์หนังสือกันแพร่หลายยิ่งขึ้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้อักษรไทยแทนอักษรขอม และโปรดเกล้าฯ ให้เก็บพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์นี้ ไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ๑ ชุด

            เมื่อมีการพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยเครื่องพิมพ์แล้ว การจารพระไตรปิฎกลงใบลานด้วยอักษรขอม ก็หมดความนิยม และต้องเลิกไปโดยปริยาย

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิสังขรณ์หอพระมณเฑียรธรรม คราวเดียวกับการปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแนะนำให้ เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น อิศรเสนา) ผู้ควบคุมการปฏิสังขรณ์ นำบานประตูมุกลายกระหนก ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มาใช้เป็นบานประตูกลางด้านหน้าหอพระมณมณเฑียรธรรม แทนบานประตูลายน้ำบานเดิม บานประตูนี้ได้มาจากวัดบรมพุทธาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

            หอพระมณเฑียรธรรมจัดเป็นสถาปัตยกรรมไทย ที่ยังคงรักษารูปแบบศิลปกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ได้ค่อนข้างมาก แม้จะได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้งแล้วก็ตาม การตกแต่งเครื่องไม้จำหลักประดับกระจกตามส่วนต่างๆ ของอาคาร เช่น ที่หน้าบัน หน้าอุดปีกนก รวมทั้งซุ้มประตูหน้าต่างล้วนงดงามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทวยที่รองรับชายคา จำหลักเป็นลายกระหนกม้วนปลาย มีส่วนหัวเป็นรูปหัวนาค ลักษณะของทวยแบบนี้  กล่าวกันว่า เป็นลักษณะเฉพาะของฝีมือช่างวังหน้าในรัชกาลที่ ๑

            ภายในอาคารหอพระมณเฑียรธรรม น่าจะได้มีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนัง มาตั้งแต่แรกสร้าง และเมื่อมีการปฏิสังขรณ์แต่ละคราว จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคาร ก็คงจะมีการอนุรักษ์เป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน ปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนัง ภายในหอพระมณเฑียรธรรม มีทั้งภาพเล่าเรื่อง และภาพลอยตัว เต็มผนังทั้ง ๔ ด้าน ที่ใต้ภาพบางภาพมีนามของช่างผู้เขียนปรากฏอยู่ เท่าที่รวบรวมได้มี ๔ ชื่อ คือ ฉ. ณ นคร นายไว้ นายทองอยู่  อินมี และนายหงวน  รักมิตร์ โดยเฉพาะที่ใต้ชื่อนายหงวน  รักมิตร์ นั้น มีข้อความว่า “เขียน พ.ศ. ๗๔” ซึ่งน่าจะหมายถึง “เขียน พ.ศ. ๒๔๗๔” อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นั่นเอง

            จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระมณเฑียรธรรม ตอนล่างเป็นภาพเล่าเรื่องมหาชาติชาดก ตอนกลางระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนเป็นภาพลอยตัวเทพบุตร และเทพธิดา ยืนพนมหัตถ์ ส่วนตอนบนเป็นภาพเทพชุมนุม รวมถึงบริเวณบานแผละหน้าต่างตอนบน เป็นภาพต่อเนื่องกับภาพเทพชุมนุม ซึ่งเขียนเป็นภาพเทวดากำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า ส่วนตอนล่างซึ่งเป็นภาพพื้นดิน เขียนภาพเล่าเรื่องตามกระทู้คำพังเพย กลุ่มภาพกระทู้คำพังเพยเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นงานเขียนที่ไม่พิถีพิถันในด้านสุนทรียภาพมากนัก แต่ผู้เขียนภาพเน้นไปทางด้านเนื้อหาของเรื่องเป็นสำคัญ ซึ่งทำให้ภาพมีคุณค่ายิ่งขึ้น ดังตัวอย่าง ๒ ภาพต่อไปนี้

            ๑. ภาพเด็กชายยืนอยู่ริมฝั่งน้ำ ในมือทั้งสองข้างจับปลาไว้ข้างละตัว ภาพนี้มีความหมายตามกระทู้คำพังเพยว่า จับปลาสองมือ
            
            ๒. ภาพชายคนหนึ่งยืนแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า มีน้ำลายฟูฝอยอยู่สูงขึ้นไปเหนือใบหน้า ภาพนี้มีความหมายตามกระทู้คำพังเพยว่า ถ่มน้ำลายรดฟ้า

            อีกประการหนึ่ง ปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคัดเลือกตู้มุกที่มีลวดลายสวยงาม บรรดาที่มีอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ รวบรวมไปจัดตั้งไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ตู้เหล่านั้นบางตู้มีจารึกว่า สร้างใน พ.ศ. ๒๓๘๙ บางตู้มีประวัติบันทึกไว้ว่า เดิมเป็นตู้เก็บพระภูษาทรง ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงปัจจุบันตู้ดังกล่าว รวมทั้งบรรดาหนังสือคัมภีร์พระไตรปิฎกต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ในหอนั้น ก็ยังคงเก็บอยู่เช่นเดิม

            ปัจจุบันหอพระมณเฑียรธรรมใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานเพียงอย่างเดียว ซึ่งเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติ ได้จัดทำบัญชีทะเบียนไว้แล้ว รวมเป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก ๑,๑๒๘ คัมภีร์ แบ่งเป็นหมวดพระวินัยปิฎก ๒๐๓ คัมภีร์ หมวดพระสูตร ๗๒๓ คัมภีร์ และหมวดพระอภิธรรม ๒๐๒ คัมภีร์ โดยปกติในหอพระมณเฑียรธรรม ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ทุกวัน แต่จะมีกำหนดเปิดเป็นครั้งคราวตามวาระต่อไปนี้
            
            ๑. เมื่อมีงานพระราชพิธีที่ต้องใช้พระธรรมเป็นองค์ประกอบ เจ้าหน้าที่สำนักงานวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติ คัดเลือกคัมภีร์พระไตรปิฎกในหอพระมณเฑียรธรรมออกไปร่วมในงานพระราชพิธีนั้น

            ๒. เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เจ้าหน้าที่สำนักงานวัดพระศรี รัตนศาสดาราม จะเปิดหอพระมณเฑียรธรรม เจ้าพนักงานของสำนักพระราชวัง จะจัดตั้งเครื่องบูชาพานพุ่มดอกไม้ธูปเทียน ในวันอาสาฬหบูชาจะมีผู้แทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นองค์ประธาน ในพิธีถวายเครื่องสักการบูชาพระธรรม

            ๓. เมื่อมีผู้ประสงค์ที่จะใช้คัมภีร์พระไตรปิฎก เพื่อการอ่าน แปล ตรวจสอบ หรือคัดลอก เฉพาะกรณีคัมภีร์ที่ไม่มีฉบับอื่นอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ ทั้งนี้ต้องไม่ขัดต่อระเบียบของทางราชการด้วย