ความงดงามของหอพระไตรปิฎกหลังนี้เป็นที่ยอมรับและสรรเสริญในเชิงช่างอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑ พิมพ์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ กล่าวถึงหอพระไตรปิฎกของวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ดังนี้
“...หอพระไตรปิฎก จับได้แน่ว่า ทำในรัชกาลที่ ๑ ท่วงทีประหลาดกว่าหอไตรที่ไหนหมด เป็นหอฝากระดานมุงกระเบื้องสามหลังแฝดมีชานหน้า ปลูกอยู่กลางสระ ดูเหมือนหนึ่งว่า หลังซ้ายขวา จะเป็นที่ไว้คัมภีร์พระปริยัติธรรม หลังกลางจะเป็นที่บอกหนังสือ หรือดูหนังสือ ฝีมือที่ทำหอนี้อย่างประณีตแบบกรุงเก่า มีสิ่งที่ควรชมอยู่หลายอย่าง คือ
๑. ชายคามีกระเบื้องกระจังเทพประนม อย่างกรุงเก่า ถ้าผู้ใดไม่เคยเห็นจะดูที่นี่ได้
๒. ประตูและซุ้มซึ่งจะเข้าในชาลา สลักลายอย่างเก่า งามประหลาดตาทีเดียว
๓. ประตูหอกลางมีสลักงามอีก ต่างลายกับประตูนอก
๔. ฝาในหอกลางเขียนเรื่องรามเกียรติ์ ฝีมือพระอาจารย์นาค ผู้ที่เขียนมารประจญ ในพระวิหารวัดพระเชตุพนท่วงทีขึงขังนัก
๕. บานประตูหอขวาเขียนรดน้ำ ลายผูกโดยตั้งใจจะพลิกแพลงมาก แต่ดูหาสู้ดีไม่
๖. ฝาในหอขวา เขียนภาพเรื่อง เห็นจะเป็นชาดก ฝีมือเรียบๆ...”
นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ยังทรงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
“...ผู้ใดที่รักการช่าง ได้ไปชมที่นั้นแล้วจะไม่อยากกลับบ้าน เป็นเคราะห์ดีมากที่หอพระไตรปิฎกนี้ยังอยู่ให้ดูได้ดีๆ ไม่พังเสีย...”
หอพระไตรปิฎกของวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร น่าจะอยู่กลางสระน้ำมาตลอดจนถึง พ.ศ. ๒๕๑๑ สภาพของหอพระไตรปิฎกทรุดโทรมมาก คณะกรรมการอนุรักษ์ ศิลปกรรมของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) เคลื่อนย้ายหอพระไตรปิฎกจากที่ตั้งเดิม มาสร้างใหม่ ในเขตพุทธาวาส โดยรักษาโครงสร้างและองค์ประกอบอื่นๆ ของอาคารไว้ให้เหมือนเดิมทุกประการ ส่วนการตกแต่งอย่างอื่นก็ปรับปรุงเท่าที่จำเป็น เพื่อคงลักษณะของเดิมไว้ ให้เป็นไปตามแบบอย่างที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเคยทอดพระเนตรมาแล้ว หอพระไตรปิฎกหลังนี้ ถึงแม้จะเป็นอาคารทรงไทยที่บูรณะขึ้นใหม่ แต่ก็ยังคงรักษารูปแบบของศิลปกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งยังคงมีแบบอย่างของศิลปกรรมสมัยอยุธยาคละเคล้าปะปนอยู่ กล่าวได้ว่า น่าจะเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงหัวเลี้ยวหัวต่อของศิลปะสมัยอยุธยา ที่สืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ที่เหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ในอดีตวัดเป็นศูนย์รวมแห่งสรรพวิชาการต่างๆ ฉะนั้นหอพระไตรปิฎก ซึ่งทำหน้าที่เป็นหอพระธรรม หรือหอสมุดของวัด จึงมีความสำคัญมาก จนเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบหลักสำหรับวัด ถึงแม้ว่าบางแห่งจะเป็นเพียงอาคารขนาดเล็ก ก็สามารถทำให้วัดนั้นมีสัญลักษณ์แห่งพระธรรม ซึ่งหมายถึงมีครบถ้วนตามความหมายแห่งไตรรัตน์ หรือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ประกอบขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์
ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการพิมพ์เป็นที่นิยมมากขึ้น จึงเลิกการจารพระไตรปิฎกลงบนใบลาน ไม่มีการสร้างคัมภีร์ใบลานและหนังสือสมุดไทยอีกต่อไป หอพระไตรปิฎกจึงหมดความจำเป็นที่จะใช้เก็บรักษาคัมภีร์ใบลานเหมือนสมัยก่อน การสร้างหอพระไตรปิฎกไว้สำหรับวัด จึงไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ยกเว้นวัดที่ยังต้องการให้เป็นตัวแทนขององค์ประกอบสำคัญในผังเท่านั้น ส่วนวัดที่มีหอพระไตรปิฎกอยู่เดิม บางวัดก็เลิกใช้ ไม่บำรุงรักษาให้คงสภาพดี ปล่อยให้ตกอยู่ในสภาพรกร้าง ชำรุดทรุดโทรม ปรักหักพังไปในที่สุด อย่างไรก็ดี นับว่า เป็นความโชคดีของบ้านเมืองที่มีวัดอีกส่วนหนึ่งที่ยังเห็นความสำคัญของหอพระไตรปิฎก ยังคงเอาใจใส่อนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพดีเป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติสืบไป